วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

4 เทคนิค หยุดเครียดถาวร
เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเครียดเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องแฟน ฯลฯ วิธีแก้เครียดก็มีหลายวิธี แต่ใครที่ยังมีความเครียดยังวนเวียนไม่หายซักที มาลอง 4 เทคนิค หยุดเครียดถาวร ที่แนะนำโดย นพ.มล. สมชาย จักรพันธุ์ กันค่ะ
ทุกคน ทุกเพศ หญิงชายมีโอกาสเกิดความเครียดได้เหมือนกัน หากไม่ได้รับการแก้ไขทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพทั้งกายและจิต ความเครียดเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้ คือปัญหาการเงิน การทำงาน ปัญหาสัมพันธภาพ เรื่องสุขภาพ และปัญหาอื่นๆในชีวิตประจำวัน
วิธีการจัดการความเครียดมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับปัญหาและสถานการณ์ ท่านสามารถเลือกจัดการความเครียดได้หลายเทคนิค นพ.มล.สมชาย จักรพันธุ์ ได้แบ่งการจัดการความเครียดได้ 4 วิธีใหญ่ๆ ดังนี้
วิธีจัดการกับความเครียด วิธีที่หนึ่ง คือ พยายามหลีกเลี่ยง (Avoid) สถานการณ์หรือบุคคลที่ทำให้เราเครียด วิธีหลีกเลี่ยงทำได้โดย รู้จักปฏิเสธ เลี่ยงเผชิญหน้ากับบุคคลที่ทำให้เครียด ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ไม่พูดเรื่องที่ความคิดเห็นไม่ตรงกัน เรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำประจำวัน
วิธีจัดการกับความเครียด วิธีที่สอง คือ ปรับเปลี่ยนสิ่งที่ทำให้เครียด (Alter) ถ้าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นได้ควรพยายามปรับเปลี่ยนสิ่งที่ทำให้เครียดซึ่งทำได้โดย บอกความรู้สึกของเราต่อคนนั้นด้วยวิธีนุ่มนวล หรือการปรับเปลี่ยนตนเองในกรณีที่เราอาจเป็นสาเหตุทำให้คนอื่นเครียด และจัดสรรเวลาการทำงานให้ดี เพราะการพยายามทำงานหนักหรือทำกิจกรรมต่างๆตลอดทั้งวันไม่ใช่เรื่องดี จะทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าและเกิดความเครียดได้ง่ายเช่นกัน
วิธีจัดการกับความเครียด วิธีที่สาม คือ ปรับตัวให้เข้ากับความเครียด (Adapt) ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสาเหตุความเครียด จึงควรปรับตัวให้เข้ากับมัน โดยยอมรับหรือเปลี่ยนทัศนคติหรือความคาดหวังจากเดิมไปบ้าง ด้วยการมองปัญหาในมุมใหม่ มองสถานการณ์ให้เป็นด้านดี มองปัญหาที่เกิดในระยะยาวที่จะเกิดในโอกาสต่อไป เช่น จะต้องเตรียมพร้อมเรื่องการเงินในช่วงเปิดเทอมหน้าของลูกอย่างไร และลดมาตรฐานลง คนที่พยามทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ มักเครียดง่ายและทำให้คนอื่นเครียดด้วย หากคิดว่าที่เขาทำได้แค่นี้ก็ดีแล้ว
วิธีจัดการกับความเครียด วิธีที่สี่ คือยอมรับความเครียด (Accept) หากเราหนี หรือปรับเปลี่ยน หรือควบคุมสาเหตุความเครียดบางอย่างไม่ได้ เช่น ความเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง ภาวะการเงินที่ถดถอย หรืออุบัติเหตุ การยอมรับปัญหาจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่อาจยากในตอนแรก ทำได้ดังนี้ อย่าคิดว่าเราสามารถควบคุมทุกอย่างได้ คิดว่าปัญหายากๆ คือการทดสอบ พูดระบายกับคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท และการให้อภัย ซึ่งตรงกับพระพุทธศาสนาที่ให้รู้จักการให้อภัย เพราะผู้คนในโลกนี้รวมทั้งตัวเราอาจทำอะไรที่ผิดพลาดได้ การให้อภัยช่วยให้ความรู้สึกขุ่นเคืองลดลง อารมณ์ดีขึ้น พร้อมที่จะเดินไปข้างหน้า
จะปล่อยให้ความเครียดรุมเร้าเราอยู่ทำไม ควรหลีกเลี่ยง ปรับเปลี่ยน ปรับตัวหรือยอมรับให้ความเครียดเป็นมิตรที่ดี เช่น ยอมรับข้อดีการเป็นคนไม่สวย ทำให้ไม่เป็นเป้าสายตาของหนุ่มๆ อันธพาล โชคดีที่เกิดมาไม่ร่ำรวย ทำให้ไม่ต้องมาห่วงการดูแลทรัพย์สิน ขโมยขึ้นบ้านได้ทองคำไปสิบบาทยังโชคดีที่ไม่ได้ทำร้ายคนในบ้าน และโชคดีที่มีหน้าที่การงานที่มั่นคง มีอวัยวะครบ ไม่พิการ เป็นต้น 

11 เคล็ดลับสำหรับคนขี้ลืม

11 เคล็ดลับสำหรับคนขี้ลืม
"ยัง ไม่ทันแก่ก็ขี้หลงขี้ลืมซะแล้ว.. " ถ้าคุณเคยถูกใครว่าแบบนี้ เห็นทีต้องรีบหาทางแก้ปัญหา ก่อนที่จะถูกตราหน้า เป็นคุณป้าทั้งๆที่หน้ายังสวยใสปิ๊ง
1. จดบันทึกช่วยจำ
การ จดบันทึกลงในสมุดที่มีวันที่กำกับ จะช่วยให้คุณแพลนเรื่องเล็กๆน้อยๆในชีวิตได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน,แต่ละอาทิตย์ หรือที่ต้องทำในเดือนถัดไป จดเบอร์โทรศัพท์,ที่อยู่เพื่อนฝูง,วันเกิด,ข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่คุณเป็นและ การรักษา รวมไปถึงความรู้สึกนึกคิดของคุณในแต่ละวัน,คำคมที่ชอบ ฯลฯ การจดจะช่วยย้ำให้สมองจำเรื่องราวเหล่านี้ได้ดีขึ้น หรือถ้าจำไม่ได้ พกสมุดบันทึกติดตัวไปเปิดดูยามที่นึกอะไรไม่ออก ก็ช่วยได้ดีเชียวละ
2. พูดกับตัวเองดังๆ
"ฉัน กำลังจะเอาเสื้อไปส่งซักที่ร้าน แล้วจะเลยไปซื้อไข่กับนมที่ซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วกลับมาล้างห้องน้ำในตอนสาย" การพูดก็เหมือนกับจดบันทึก และที่ๆดีที่สุดที่จะพูดออกมาดังๆ คือในห้องน้ำ ยามเช้าก่อนเริ่มออกจากบ้าน นึกถึงสิ่งที่คุณต้องทำในวันนั้น แล้วพูดออกมาดังๆ ซ้ำๆกันหลายๆหน ถ้าคิดว่ายังจำไม่ได้และเป็นกังวล ลองใช้เครื่องเทปเล็กๆอัดเสียงที่คุณพูด และนำเทปติดตัวไปเปิดยามที่นึกไม่ออกว่าจะทำอะไร
3. ติดโน้ต
เดี๋ยว นี้มีแผ่นโน้ตเล็กๆ ที่ติดไว้ที่ไหนก็ได้ขายอยู่ทั่วไป ขนาดก็เหมาะกับการพกพา เวลาที่มีการนัดหมายหรือนึกขึ้นมาได้ว่าต้องทำอะไรในวันที่ยังมาไม่ถึง ให้เขียนสิ่งที่จะทำลงบนกระดาษโน้ต แปะไว้ในที่ๆคุณต้องเห็นเป็นประจำ เช่นที่ประตูตู้เย็นในครัว,บอร์ดช่วยจำที่ติดไว้ตรงทางเดินก่อนออกจากบ้าน หรือในรถ ทุกครั้งที่เห็นโน้ตที่ติดไว้ คือการเตือนสมองให้จดจำเรื่องเหล่านี้แม่นยำขึ้น
4. เก็บข้าวของให้เป็นที่
เก็บ ของให้เป็นที่ในที่ที่ควรจะเป็น เช่น เก็บยาที่ต้องกินก่อนนอนไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ข้างขวดน้ำดื่ม,เก็บกุญแจไว้บนโต๊ะเล็กๆ ข้างประตูทางออก ช่วยให้ไม่ต้องมานั่งเสียเวลานึกทุกครั้งที่จะใช้ข้าวของที่ว่า
5. อย่าจับปลาหลายมือ
ไม่ ได้หมายถึงสาวๆที่มีแฟนทีเดียวหลายๆคน แต่หมายถึงคนที่ชอบทำอะไรหลายๆอย่างพร้อมกัน เช่น ดูทีวี ในขณะที่หูก็ฟังเสียงเพื่อนในโทรศัพท์ ทำให้ไม่มีสมาธิในการจำ ควรจะเลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
6. ปฎิบัติตัวเป็นกิจวัตร
การ ทำซ้ำๆ เหมือนๆกัน ช่วยให้สมองจำได้เองโดยไม่ต้องพยายาม เช่น ถ้าทุกครั้งที่อ่านหนังสือยังไม่จบแต่ต้องไปทำอย่างอื่น คุณวางมันไว้ที่ใดที่หนึ่งเป็นประจำ เมื่อเสร็จธุระจะกลับมาอ่านต่อ สมองจะสั่งการโดยอัติโนมัติว่าจะต้องไปหยิบหนังสือที่ไหน
7. ใช้ทริคช่วยจำ
ทริ คประเภทท่องจำ,คำย่อ,คำคล้องจอง อย่างสมัยที่เราทำตอนเด็กๆ ประเภท "ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ.." ยังใช้ได้ดีในกรณีนี้ ยิ่งถ้าต้องทำอะไรหลายๆอย่างในวันเดียว เอามาผูกเป็นเรื่องอย่างข้างต้น หรือจะใช้ตัวย่อ เช่น ฟ-ส-น-ม (ทำฟัน-เอาหนังสือไปคืนเพื่อน-เติมน้ำมันรถ-จ่ายค่ามือถือ) ก็ได้
8. ช้าๆได้พร้าเล่มงาม
ทำ อะไรให้ช้าลงหน่อย เพราะสมองเราจะจำอะไรได้ช้าลงเมื่ออายุมากขึ้น การพูดเร็ว ทำเร็ว จนเกินไปก็มีส่วนทำให้สมองเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้ไม่ทัน
9. ร่างกายแข็งแรง
ความจำก็แข็งแรง ดูแลตัวเองให้ดี กินอาหารให้ครบหมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะเมื่อร่างกายแข็งแรง ความจำก็จะดีไปด้วย
10. บริหารสมอง
ทำ กิจกรรมที่แตกต่าง เช่น เล่นเกมส์,อ่านหนังสือ,เล่นดนตรี ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้สมองได้ออกกำลัง ก็เหมือนกับร่างกาย เมื่อได้ออกกำลังก็จะแอคทีฟขึ้น คิดอะไรได้ฉับไว และที่แน่ๆช่วยให้ความจำดี
11. เข้าใจความถนัดของตัวเอง
คน เราแต่ละคนที่ความถนัดไม่เหมือนกัน บางคนจำได้ดีเมื่อได้มองเห็น (จดบันทึก) บางคนจำได้ดีกว่าเมื่อได้ยินเสียง (พูดดังๆ/อัดเทป) แต่ก็มีบางคนจะจำได้ก็ต่อเมื่อได้ลงมือ ปฎิบัติหรือมีประสบการณ์ร่วม (เขียน/ทำ)

ลองสังเกตุดูว่าคุณจำได้ดีกับวิธีการ ไหน แล้วเลือกวิธีการที่เหมาะที่สุดสำหรับตัวคุณเอง แต่ถ้าจะให้ดี ใช้ทั้ง 3 วิธีสลับกันก็จะช่วยให้สมองได้ฝึกทักษะมากขึ้น